
จีน
สร้างเมื่อ : วันพฤหัสบดี 26 ธันวาคม 2567, 13:30:21
แก้ไขเมื่อ : วันพฤหัสบดี 26 ธันวาคม 2567, 13:30:21
เข้าชม : 458
สาธารณรัฐประชาชนจีน
China
China

-
เมืองหลวง:
กรุงปักกิ่ง - ที่ตั้ง:
ทิศตะวันออกของทวีปเอเชีย บริเวณริมฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกตอนเหนือ ระหว่างเส้นละติจูด 4-53 องศาเหนือกับเส้นลองจิจูด 73-35 องศาตะวันออก พื้นที่ประมาณ 9,597,000 ตร.กม. (1 ใน 4 ของทวีปเอเชีย) ความกว้างจากทิศตะวันออกถึงทิศตะวันตกประมาณ 5,000 กม. จากทิศเหนือจรดทิศใต้ประมาณ 5,500 กม. มีพรมแดนยาว 22,117 กม.
อาณาเขต ทิศเหนือ ติดกับรัสเซีย คาซัคสถาน คีร์กีซสถาน ทาจิกิสถาน และมองโกเลีย
ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ติดกับเกาหลีเหนือ และทะเลเหลือง
ทิศตะวันออก ติดกับทะเลจีนตะวันออก
ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ติดกับทะเลจีนใต้
ทิศตะวันตก ติดกับอัฟกานิสถาน ปากีสถาน และอินเดีย
- ภูมิประเทศ:
2 ใน 3 ของพื้นที่เป็นภูเขาและที่ราบสูง โดยแบ่งเป็นเขตภูเขา 33% ที่ราบสูง 26% ที่ราบลุ่ม 19% และเนินเขา 10% ลักษณะภูมิประเทศเหมือนขั้นบันได จากที่ราบชิงไห่-ทิเบต ทางตะวันตกความสูง 4,000 ม. ขึ้นไป ลาดลงทางด้านตะวันออกเป็นที่ราบสูงที่มีความสูง 1,000-2,000 ม. มีเทือกเขากั้น ก่อนลดลงเป็นพื้นที่ที่มีความสูงระหว่าง 500-1,000 ม. และกลายเป็นที่ราบด้านตะวันออกจนถึงชายฝั่งและไหล่ทวีป เทือกเขาสำคัญ ได้แก่ เทือกเขาหิมาลัย (พรมแดนระหว่างจีน อินเดีย และเนปาล) เทือกเขาคุนหลุน และเทือกเขา เทียนซาน มีแม่น้ำลำคลองมากกว่า 1,500 สาย ที่สำคัญคือแม่น้ำแยงซี (ยาวที่สุดในจีน) แม่น้ำหวงเหอ แม่น้ำเฮยหลงเจียง และแม่น้ำจูเจียง นอกจากนี้ จีนยังเป็นต้นน้ำของแม่น้ำโขง แม่น้ำแดง แม่น้ำสาละวิน และแม่น้ำพรหมบุตร
- ภูมิอากาศ:
อยู่ในเขตอบอุ่นเหนือ มี 4 ฤดู ได้แก่ ฤดูใบไม้ผลิ (ก.พ.-เม.ย.) ฤดูร้อน (พ.ค.-ก.ค.) ฤดูใบไม้ร่วง (ส.ค.-ต.ค.) และฤดูหนาว (พ.ย.-ม.ค.) การที่จีนมีพื้นที่กว้างใหญ่ทำให้ภูมิอากาศแตกต่างกันในแต่ละท้องถิ่น ภาคใต้อากาศแบบเขตร้อน ฝนตกตลอดปี ภาคตะวันออกเฉียงเหนืออากาศเย็นในฤดูร้อนและหนาวจัด ในฤดูหนาว ภาคตะวันออกอากาศอบอุ่นมีฝนตก และภาคตะวันออกเฉียงใต้ฝนตกมาก ขณะที่อิทธิพลของลมทำให้อุณหภูมิในแต่ละฤดูแตกต่างกันมาก ฤดูร้อนและฤดูหนาวมีอุณหภูมิต่างกันถึง 30 องศาเซลเซียส
- ประชากร:
1,419,321,278 คน (ต.ค.2567) เป็นชาวฮั่น 91.11% ชนกลุ่มน้อย (จ้วง หุย แมนจู อุยกูร์ ทิเบต และอื่นๆ) 8.89% อัตราส่วนประชากรจำแนกตามอายุ : วัยเด็ก (0-14 ปี) 17.80% วัยรุ่นถึงวัยกลางคน (15-59 ปี) 61.30% และวัยชรา (60 ปีขึ้นไป) 20.90% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปี 2566 สัดส่วนของประชากรชายอยู่ที่ 51.30% ส่วนประชากรหญิงอยู่ที่ 48.76% ประชากรจีนมีอายุเฉลี่ย 78.0 ปี (ปี 2567) อัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรเฉลี่ยลดลงเหลือ 0.34% โดยรัฐบาลแก้ไขกฎหมายสนับสนุนให้ประชาชนมีลูกเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี จีนยังคงมีอัตราการแต่งงานและเกิดของประชากรลดลง โดยเริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุตั้งแต่ปี 2566 ขณะที่ดัชนีการพัฒนามนุษย์ (Human Development Index-HDI) ของจีนเมื่อปี 2567 อยู่ในอันดับ 75 จาก 193 ประเทศ เมืองที่มีประชากรหนาแน่น 5 อันดับแรก ได้แก่ เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง เซินเจิ้น กว่างโจว และเฉิงตู
- ศาสนา:
จีนไม่มีศาสนาประจำชาติ แต่มีชาวจีนที่นับถือศาสนาประมาณ 200 ล้านคน โดยมีผู้นับถือศาสนาพุทธนิกายมหายาน 18.2% ศาสนาคริสต์ 5.1% ศาสนาอิสลาม 1.8%
- ภาษา:
จีนกลางเป็นภาษาราชการ และใช้อักษรโรมันสะกดเทียบภาษาจีนกลางที่เรียกว่า Pinyin ภาษาท้องถิ่นที่สำคัญ เช่น ภาษากวางตุ้ง แคะ ฮกเกี้ยน
- การศึกษา:
อัตราการรู้หนังสือ 97.0% (ต.ค.2567) จีนให้ความสำคัญกับการศึกษาจากนโยบาย “พัฒนาประเทศด้วยวิทยาศาสตร์และการศึกษา” ซึ่งแบ่งการศึกษาออกเป็น 3 ระดับ คือ การศึกษาขั้นพื้นฐาน ขั้นอุดมศึกษา และการศึกษาผู้ใหญ่ กฎหมายกำหนดให้เด็กทุกคนต้องได้รับการศึกษาฟรีในระบบโรงเรียนอย่างน้อย 9 ปี
ตั้งแต่ ม.ค.2567 จีนเร่งปรับปรุงคุณภาพทางการศึกษาให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงทางสังคม ส่งเสริมการศึกษาระดับอุดมศึกษาแก่ประชาชน และตั้งเป้าหมายนำระบบดิจิทัลมาใช้พัฒนาการเรียนการสอนทุกระดับชั้น โดยการประชุม Third Plenum เมื่อ ส.ค.2567 รัฐบาลกำหนดนโยบายสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพสูงเพื่อพึ่งพาตนเองมากขึ้น ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการจีนกำหนดแนวทางปฏิรูปการศึกษา 3 ด้าน ดังนี้
- ปรับปรุงการศึกษาขั้นพื้นฐาน ลดการบ้านและการเรียนพิเศษ พัฒนาคุณภาพการสอนในห้องเรียน และการบริการหลังเลิกเรียน
- ขยายโอกาสทางการศึกษา พัฒนาระบบการศึกษาสายอาชีพให้ทันสมัยและสอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม
- สนับสนุนการศึกษาตลอดชีวิต พัฒนาแพลตฟอร์มด้านการศึกษาและการบริการที่เกี่ยวข้อง เพื่อประชาชนสามารถเข้าใช้งานได้ตลอดเวลา
- การก่อตั้งประเทศ:
ปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มานับพันปี แต่ในช่วงศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 เกิดความวุ่นวายในประเทศ ความอดอยาก การพ่ายแพ้ทางทหาร และการยึดครองของต่างชาติ จนหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพของพรรคคอมมิวนิสต์จีน นำโดยประธานเหมา เจ๋อตุง รบชนะกองทัพพรรคก๊กมินตั๋ง ซึ่งนำโดยจอมพลเจียง ไคเช็ค และสถาปนาการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์เมื่อ 1 ต.ค.2492 ต่อมาเมื่อปี 2521 นายเติ้ง เสี่ยวผิง ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนรุ่นที่ 2 ซึ่งสืบทอดอำนาจต่อจากประธานเหมา เจ๋อตุง ดำเนินนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจและเปิดประเทศ จนทำให้ในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมาเศรษฐกิจจีนเติบโตในเกณฑ์สูงและรวดเร็ว ส่งผลให้มาตรฐานความเป็นอยู่ของประชาชนจีนดีขึ้น
- วันชาติ:
1 ต.ค. - การเมือง:
พรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้กำหนดนโยบายทุกด้าน รัฐบาลและสภาประชาชนแห่งชาติมีหน้าที่ ทำตามมติและนโยบายที่พรรคกำหนดเท่านั้น โครงสร้างทางการเมืองที่สำคัญของจีน คือ 1) พรรคคอมมิวนิสต์จีน ประกอบด้วย สมัชชาพรรค คณะกรรมการกลาง คณะกรรมาธิการทหารกลาง คณะกรรมาธิการตรวจสอบวินัย คณะกรรมการกรมการเมือง คณะกรรมการประจำกรมการเมือง และเลขาธิการพรรค 2) สภาประชาชนแห่งชาติ เป็นองค์กรสูงสุดในการใช้อำนาจรัฐ มาจากการเลือกตั้งของสภาประชาชนระดับท้องถิ่น มีอำนาจทั้งด้านนิติบัญญัติ การเลือกประธานาธิบดี รองประธานาธิบดี และ นรม. 3) ประธานาธิบดี เป็นประมุขของประเทศ 4) คณะรัฐมนตรีเป็นองค์กรบริหารสูงสุดของประเทศ บริหารงานตามมติของสภาประชาชนแห่งชาติ 5) คณะกรรมาธิการทหารกลาง ทำหน้าที่กำหนดนโยบายระดับสูงของกองทัพจีน 6) สภาที่ปรึกษาการเมืองประชาชนจีน เป็นองค์กรแนวร่วม ที่ประกอบด้วยผู้แทนจากพรรคคอมมิวนิสต์จีน พรรคประชาธิปไตยต่าง ๆ ผู้แทนชนกลุ่มน้อย ผู้รักชาติจากไต้หวัน ฮ่องกง มาเก๊า และชาวจีนโพ้นทะเล และ 7) ศาลประชาชน เป็นองค์กรสูงสุดในการพิพากษาและควบคุมตรวจสอบงานพิพากษาของศาลระดับท้องถิ่น
- เศรษฐกิจ:
เศรษฐกิจจีนขยายตัวช้าลงจากผลกระทบของวิกฤติอสังหาริมทรัพย์ ความขัดแย้งระหว่างจีนกับสหรัฐฯ และชาติพันธมิตร รวมถึงความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจจีนขยายตัว 4.8% (ถึง ต.ค.2567) มูลค่ารวมมากกว่า 90 ล้านล้านหยวน สะท้อนว่าเศรษฐกิจจีนยังมีความยืดหยุ่นและขยายตัวแม้สถานการณ์เศรษฐกิจจะยังผันผวน ตัวแสดงหลักยังคงเป็นกลุ่มทุนที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ จีนเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจจะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ที่ร้อยละ 5 แต่ IMF และ Goldman Sachsประเมินว่า GDP จีนอาจลดลงเหลือ 4.7-4.9% ในปี 2567
จีนมุ่งฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยเน้นส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ ควบคู่กับการดึงดูดเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติ แก้ไขปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์อย่างค่อยเป็นค่อยไป ปรับโครงสร้างหนี้ ปฏิรูปเศรษฐกิจ ปราบปรามการทุจริตภายในพรรคคอมมิวนิสต์จีน เน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจจีนขยายตัวไม่สูงเท่ากับที่ผ่านมา (7-8% ต่อปี ก่อนปี 2558)
ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของจีนอยู่ที่ 3.3164 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 110.69 ล้านล้านบาท) เมื่อ ก.ย.2567 เพิ่มขึ้น 0.86% จากเมื่อ ส.ค.2567 ส่วนปริมาณทองคำสำรองของจีนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อยู่ที่ 2,264.32 ตัน เมื่อ มิ.ย.2567 โดยสำนักงานกำกับดูแลการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศแห่งชาติของจีนระบุว่า เศรษฐกิจของจีนยังยืดหยุ่นสูง และศักยภาพการพัฒนาปัจจัยพื้นฐานเชิงบวกในระยะยาวยังไม่เปลี่ยนแปลง เอื้อต่อการรักษาเสถียรภาพพื้นฐานของทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ
จีนเป็นแหล่งเงินทุนต่างประเทศที่สำคัญของโลก โดยในห้วง ม.ค.-ส.ค.2567 จีนลงทุนในต่างประเทศ (Outbound Direct Investment-ODI) 789,450 ล้านหยวน (ประมาณ 110,990 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้น 10.6% โดยลงทุนในหลากหลายสาขา อาทิ ธุรกิจค้าส่งและค้าปลีก การผลิต และการเงิน มีสัดส่วนประมาณ 80% ของมูลค่าการลงทุนทั้งหมด ขณะที่การลงทุนในอุตสาหกรรมก่อสร้าง ซอฟท์แวร์ และบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ ขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยจีนลดการลงทุนในสหรัฐฯ สหภาพยุโรป และออสเตรเลีย ที่เคยเป็นปลายทางการลงทุนสำคัญแต่เดิม และหันไปเพิ่มการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแอฟริกามากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
การลงทุนของจีนภายใต้กรอบ BRI ห้วง ม.ค.-ส.ค.2567 เพิ่มขึ้น 7.7% เป็น 17,940 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ จีนมีโครงการร่วมพัฒนาในต่างประเทศปี 2567 มูลค่ารวม 86,280 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 6.6% เมื่อเทียบปี 2566 ทั้งยังมีข้อตกลงในสัญญาใหม่ที่เตรียมลงนามอีก 133,950 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 25% เมื่อเทียบปี 2566 โดยจีนลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี สื่อสารมวลชน เทคโนโลยีด้านการสื่อสาร พลังงานสะอาด การพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีคุณภาพสูง ระบบรักษา พยาบาล วิทยาศาสตร์สุขภาพ พลังงาน และการพัฒนาอย่างยั่งยืน
จีนแสดงบทบาทเป็นผู้ส่งเสริมการค้าเสรีในระดับโลก ขับเคลื่อนผ่านนโยบายต่าง ๆ เช่น การจัดตั้งเขตการค้าเสรี (Free Trade Zones-FTZs) ใหม่เพิ่มอีก 3 แห่งที่กรุงปักกิ่ง มณฑลหูหนาน มณฑลอันหุย และมณฑลเจ้อเจียง โดย FTZs ที่กรุงปักกิ่ง (พื้นที่ 119.68 ตร.กม.) มุ่งส่งเสริมเทคโนโลยีสารสนเทศในอนาคต เทคโนโลยีชีวภาพ และเทคโนโลยีการบริการที่จะเป็นต้นแบบของทั้งประเทศ ที่มณฑลหูหนานมุ่งปรับปรุงการลงทุนและความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกับประเทศในภูมิภาคแอฟริกาและในกรอบ BRI มณฑลอันหุยจะเน้นพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตสินค้าประเภทเทคโนโลยีระดับสูง แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ปัญญา- ประดิษฐ์ และอุตสาหกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ระหว่างประเทศ ส่วนมณฑลเจ้อเจียงจะพัฒนาเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าทางเรือระหว่างประเทศ และศูนย์กลางจัดส่งและคลังสำรองน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ นอกจากนี้ จีนจัดตั้งเขตการค้าเสรีนำร่องใน 3 เมือง ของเขตปกครองตนเองซินเจียง (พื้นที่ 179.66 ตร.กม.) เพื่อเป็นศูนย์กลางการพัฒนาคุณภาพสูงในภาคกลางและภาคตะวันตกของประเทศ ขยายความร่วมมือจากจีนไปยังประเทศในเอเชียกลางและยุโรป ทั้งด้านการค้า การเงิน วัฒนธรรม การศึกษา และเทคโนโลยี
นับตั้งแต่ปี 2563 จีนประสบความสำเร็จในการพัฒนาระบบเงินหยวนดิจิทัลและเริ่มทดลองใช้เงินหยวนดิจิทัลในหลายพื้นที่ โดยธนาคารกลางจีนเป็นผู้กำหนดนโยบายกำกับดูแลการทดลองใช้ดังกล่าว เมื่อปี 2566 ทางการจีนจัดทำแผนขับเคลื่อนและกำหนดระยะเวลาการพัฒนาและเสริมสร้างความก้าวหน้าด้านดิจิทัลของจีน (digital China) ถึงปี 2578 เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล โดยเฉพาะระบบ 5G และระบบประมวลผลภายในประเทศให้ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อเป็นประเทศชั้นนำของโลกด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลภายในปี 2568 และเป็นประเทศชั้นนำระดับโลกด้านดิจิทัลภายในปี 2578 โดยนำระบบดิจิทัลมาใช้สนับสนุนการพัฒนาในทุกภาคส่วน
จีนส่งเสริมการอพยพประชาชนไปตั้งถิ่นฐานในเขตเมืองตามนโยบายขจัดความยากจนที่เริ่มเมื่อปี 2557 และบรรลุเป้าหมายแผนงานอพยพประชาชน 100 ล้านคนไปตั้งถิ่นฐานในเขตเมืองเมื่อปี 2563 ทั้งยังประสบความสำเร็จมากขึ้นในการพัฒนาความเป็นเมือง มีอัตราความเป็นเมืองเพิ่มขึ้นจาก 10.64% เมื่อปี 2549 เป็น 66.16% เมื่อปี 2566 โดยมีประชากรจีนอาศัยในเขตเมือง 930 ล้านคน มีเมืองมหานคร (megacities) ประชากรมากกว่า 10 ล้านคน เพิ่มจาก 6 เมืองเป็น 7 เมือง และมีเมืองขนาดใหญ่มาก (super-large cities) ประชากรมากกว่า 5 ล้านคน แต่ไม่ถึง 10 ล้านคน เพิ่มจาก 10 เมืองเป็น 14 เมือง นอกจากนี้ การผ่อนปรนเงื่อนไขการซื้อที่อยู่อาศัยในเขตเมืองใหญ่เพื่อแก้ไขสถานการณ์อสังหาริมทรัพย์ภายในประเทศ มีแนวโน้มทำให้ประชาชนอพยพเข้าไปอาศัยในเขตเมืองมากขึ้น
ปี 2566 จีนพยายามลดอัตราการว่างงาน โดยตั้งเป้าหมายสร้างงานเพิ่ม 12 ล้านตำแหน่ง ฟื้นฟูธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ได้รับผลกระทบจากโรค COVID-19 ส่งเสริมการจ้างงานสำหรับผู้สำเร็จการศึกษาระดับวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยภายในประเทศ ปรับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระยะ 5 ปี ฉบับที่ 14 (2564-2568) โดยให้ความสำคัญกับการสร้างเสริมความสุข พัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชน และพัฒนาสู่การเป็นประเทศที่มีรายได้สูง นอกจากนี้ รัฐบาลยังตั้งเป้าเพิ่มโอกาสการมีงานทำให้แก่ประชาชน รักษารายได้ให้อยู่ในระดับเดียวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ ส่งเสริมประชาชนให้เข้าถึงการศึกษาระดับสูงง่ายขึ้น ส่งเสริมการเผยแพร่วัฒนธรรมมวลชน จัดโครงการออกกำลังกาย และผลักดันโครงการเสริมสร้างสุขภาพประชาชนอย่างรอบด้าน นอกจากนี้ จะเร่งกำหนดมาตรการประกันการยังชีพของผู้สูงอายุ และปรับระบบการให้บริการผู้สูงอายุ รวมทั้งจะปรับปรุงระบบประกันสังคมถ้วนหน้าให้สมดุล เป็นธรรม เป็นเอกภาพและยั่งยืน
ปัญหาสังคมผู้สูงวัยเป็นความท้าทายสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจจีน โดยประชากรสูงวัยของจีนจะเพิ่มเป็น 300 ล้านคน ในอีก 5 ปีข้างหน้า และ 400 ล้านคน ภายในปี 2583 ซึ่งจะเปลี่ยนโครงสร้างประชากรจีนเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยระดับกลาง รายงานของมหาวิทยาลัยชิงหัวระบุว่า ประชากรจีนจะลดจำนวนลงอย่างมากในปี 2593 โดยคาดว่าจะเหลือต่ำกว่า 800 ล้านคน ภายในปี 2643 หรือจาก 19% เป็น 7% ของประชากรโลก ซึ่งจะส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน เนื่องจากแรงงานจีนส่วนใหญ่จะอยู่ในวัย 40-50 ปี ซึ่งด้อยกว่าประชากรวัยหนุ่มสาวทั้งด้านความคิดสร้างสรรค์และสุขภาพ
ภาคการเกษตร คิดเป็น 7.1% ของ GDP ผลผลิตทางการเกษตรที่สำคัญ ได้แก่ ข้าว ข้าวสาลี มันฝรั่ง ข้าวโพด ถั่วลิสง ชา ผลไม้ และปศุสัตว์
ภาคอุตสาหกรรม คิดเป็น 39.5% ของ GDP อุตสาหกรรมสำคัญได้แก่ การทำเหมืองแร่ การผลิตเครื่องจักร สิ่งทอ อุตสาหกรรมปิโตรเลียม ซีเมนต์ เคมีภัณฑ์ ปุ๋ย อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อาวุธ ยานยนต์ และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชั้นสูง
ภาคบริการ คิดเป็น 53.4% ของ GDP
ทรัพยากรธรรมชาติสำคัญ ได้แก่ ถ่านหิน สินแร่เหล็ก น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ปรอท ยูเรเนียม และพลังงานน้ำ
สกุลเงิน ตัวย่อสกุลเงิน : หยวน (RMB หรือ CNY)
อัตราแลกเปลี่ยนต่อดอลลาร์สหรัฐ : 7.14 หยวน : 1 ดอลลาร์สหรัฐ
อัตราแลกเปลี่ยนต่อบาท : 1 หยวน : 4.73 บาท (ต.ค.2567)
ธนาคารกลางของจีนประกาศเมื่อ 11 ส.ค.2558 ให้กำหนดอัตราอ้างอิงในแต่ละวัน เพื่อให้อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างหยวนกับดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น-ลดลงไม่เกิน 2% จากอัตราแลกเปลี่ยน ณ เวลาตลาดปิดในวันก่อนหน้า
- ดัชนีเศรษฐกิจสำคัญ:
เศรษฐกิจจีนขยายตัวช้าลงจากผลกระทบของวิกฤติอสังหาริมทรัพย์ ความขัดแย้งระหว่างจีนกับสหรัฐฯ และชาติพันธมิตร รวมถึงความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจจีนขยายตัว 4.8% (ถึง ต.ค.2567) มูลค่ารวมมากกว่า 90 ล้านล้านหยวน สะท้อนว่าเศรษฐกิจจีนยังมีความยืดหยุ่นและขยายตัวแม้สถานการณ์เศรษฐกิจจะยังผันผวน ตัวแสดงหลักยังคงเป็นกลุ่มทุนที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ จีนเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจจะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ที่ร้อยละ 5 แต่ IMF และ Goldman Sachsประเมินว่า GDP จีนอาจลดลงเหลือ 4.7-4.9% ในปี 2567
จีนมุ่งฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยเน้นส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ ควบคู่กับการดึงดูดเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติ แก้ไขปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์อย่างค่อยเป็นค่อยไป ปรับโครงสร้างหนี้ ปฏิรูปเศรษฐกิจ ปราบปรามการทุจริตภายในพรรคคอมมิวนิสต์จีน เน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจจีนขยายตัวไม่สูงเท่ากับที่ผ่านมา (7-8% ต่อปี ก่อนปี 2558)
ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของจีนอยู่ที่ 3.3164 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 110.69 ล้านล้านบาท) เมื่อ ก.ย.2567 เพิ่มขึ้น 0.86% จากเมื่อ ส.ค.2567 ส่วนปริมาณทองคำสำรองของจีนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อยู่ที่ 2,264.32 ตัน เมื่อ มิ.ย.2567 โดยสำนักงานกำกับดูแลการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศแห่งชาติของจีนระบุว่า เศรษฐกิจของจีนยังยืดหยุ่นสูง และศักยภาพการพัฒนาปัจจัยพื้นฐานเชิงบวกในระยะยาวยังไม่เปลี่ยนแปลง เอื้อต่อการรักษาเสถียรภาพพื้นฐานของทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ
จีนเป็นแหล่งเงินทุนต่างประเทศที่สำคัญของโลก โดยในห้วง ม.ค.-ส.ค.2567 จีนลงทุนในต่างประเทศ (Outbound Direct Investment-ODI) 789,450 ล้านหยวน (ประมาณ 110,990 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้น 10.6% โดยลงทุนในหลากหลายสาขา อาทิ ธุรกิจค้าส่งและค้าปลีก การผลิต และการเงิน มีสัดส่วนประมาณ 80% ของมูลค่าการลงทุนทั้งหมด ขณะที่การลงทุนในอุตสาหกรรมก่อสร้าง ซอฟท์แวร์ และบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ ขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยจีนลดการลงทุนในสหรัฐฯ สหภาพยุโรป และออสเตรเลีย ที่เคยเป็นปลายทางการลงทุนสำคัญแต่เดิม และหันไปเพิ่มการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแอฟริกามากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
การลงทุนของจีนภายใต้กรอบ BRI ห้วง ม.ค.-ส.ค.2567 เพิ่มขึ้น 7.7% เป็น 17,940 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ จีนมีโครงการร่วมพัฒนาในต่างประเทศปี 2567 มูลค่ารวม 86,280 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 6.6% เมื่อเทียบปี 2566 ทั้งยังมีข้อตกลงในสัญญาใหม่ที่เตรียมลงนามอีก 133,950 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 25% เมื่อเทียบปี 2566 โดยจีนลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี สื่อสารมวลชน เทคโนโลยีด้านการสื่อสาร พลังงานสะอาด การพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีคุณภาพสูง ระบบรักษา พยาบาล วิทยาศาสตร์สุขภาพ พลังงาน และการพัฒนาอย่างยั่งยืน
จีนแสดงบทบาทเป็นผู้ส่งเสริมการค้าเสรีในระดับโลก ขับเคลื่อนผ่านนโยบายต่าง ๆ เช่น การจัดตั้งเขตการค้าเสรี (Free Trade Zones-FTZs) ใหม่เพิ่มอีก 3 แห่งที่กรุงปักกิ่ง มณฑลหูหนาน มณฑลอันหุย และมณฑลเจ้อเจียง โดย FTZs ที่กรุงปักกิ่ง (พื้นที่ 119.68 ตร.กม.) มุ่งส่งเสริมเทคโนโลยีสารสนเทศในอนาคต เทคโนโลยีชีวภาพ และเทคโนโลยีการบริการที่จะเป็นต้นแบบของทั้งประเทศ ที่มณฑลหูหนานมุ่งปรับปรุงการลงทุนและความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกับประเทศในภูมิภาคแอฟริกาและในกรอบ BRI มณฑลอันหุยจะเน้นพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตสินค้าประเภทเทคโนโลยีระดับสูง แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ปัญญา- ประดิษฐ์ และอุตสาหกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ระหว่างประเทศ ส่วนมณฑลเจ้อเจียงจะพัฒนาเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าทางเรือระหว่างประเทศ และศูนย์กลางจัดส่งและคลังสำรองน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ นอกจากนี้ จีนจัดตั้งเขตการค้าเสรีนำร่องใน 3 เมือง ของเขตปกครองตนเองซินเจียง (พื้นที่ 179.66 ตร.กม.) เพื่อเป็นศูนย์กลางการพัฒนาคุณภาพสูงในภาคกลางและภาคตะวันตกของประเทศ ขยายความร่วมมือจากจีนไปยังประเทศในเอเชียกลางและยุโรป ทั้งด้านการค้า การเงิน วัฒนธรรม การศึกษา และเทคโนโลยี
นับตั้งแต่ปี 2563 จีนประสบความสำเร็จในการพัฒนาระบบเงินหยวนดิจิทัลและเริ่มทดลองใช้เงินหยวนดิจิทัลในหลายพื้นที่ โดยธนาคารกลางจีนเป็นผู้กำหนดนโยบายกำกับดูแลการทดลองใช้ดังกล่าว เมื่อปี 2566 ทางการจีนจัดทำแผนขับเคลื่อนและกำหนดระยะเวลาการพัฒนาและเสริมสร้างความก้าวหน้าด้านดิจิทัลของจีน (digital China) ถึงปี 2578 เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล โดยเฉพาะระบบ 5G และระบบประมวลผลภายในประเทศให้ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อเป็นประเทศชั้นนำของโลกด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลภายในปี 2568 และเป็นประเทศชั้นนำระดับโลกด้านดิจิทัลภายในปี 2578 โดยนำระบบดิจิทัลมาใช้สนับสนุนการพัฒนาในทุกภาคส่วน
จีนส่งเสริมการอพยพประชาชนไปตั้งถิ่นฐานในเขตเมืองตามนโยบายขจัดความยากจนที่เริ่มเมื่อปี 2557 และบรรลุเป้าหมายแผนงานอพยพประชาชน 100 ล้านคนไปตั้งถิ่นฐานในเขตเมืองเมื่อปี 2563 ทั้งยังประสบความสำเร็จมากขึ้นในการพัฒนาความเป็นเมือง มีอัตราความเป็นเมืองเพิ่มขึ้นจาก 10.64% เมื่อปี 2549 เป็น 66.16% เมื่อปี 2566 โดยมีประชากรจีนอาศัยในเขตเมือง 930 ล้านคน มีเมืองมหานคร (megacities) ประชากรมากกว่า 10 ล้านคน เพิ่มจาก 6 เมืองเป็น 7 เมือง และมีเมืองขนาดใหญ่มาก (super-large cities) ประชากรมากกว่า 5 ล้านคน แต่ไม่ถึง 10 ล้านคน เพิ่มจาก 10 เมืองเป็น 14 เมือง นอกจากนี้ การผ่อนปรนเงื่อนไขการซื้อที่อยู่อาศัยในเขตเมืองใหญ่เพื่อแก้ไขสถานการณ์อสังหาริมทรัพย์ภายในประเทศ มีแนวโน้มทำให้ประชาชนอพยพเข้าไปอาศัยในเขตเมืองมากขึ้น
ปี 2566 จีนพยายามลดอัตราการว่างงาน โดยตั้งเป้าหมายสร้างงานเพิ่ม 12 ล้านตำแหน่ง ฟื้นฟูธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ได้รับผลกระทบจากโรค COVID-19 ส่งเสริมการจ้างงานสำหรับผู้สำเร็จการศึกษาระดับวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยภายในประเทศ ปรับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระยะ 5 ปี ฉบับที่ 14 (2564-2568) โดยให้ความสำคัญกับการสร้างเสริมความสุข พัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชน และพัฒนาสู่การเป็นประเทศที่มีรายได้สูง นอกจากนี้ รัฐบาลยังตั้งเป้าเพิ่มโอกาสการมีงานทำให้แก่ประชาชน รักษารายได้ให้อยู่ในระดับเดียวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ ส่งเสริมประชาชนให้เข้าถึงการศึกษาระดับสูงง่ายขึ้น ส่งเสริมการเผยแพร่วัฒนธรรมมวลชน จัดโครงการออกกำลังกาย และผลักดันโครงการเสริมสร้างสุขภาพประชาชนอย่างรอบด้าน นอกจากนี้ จะเร่งกำหนดมาตรการประกันการยังชีพของผู้สูงอายุ และปรับระบบการให้บริการผู้สูงอายุ รวมทั้งจะปรับปรุงระบบประกันสังคมถ้วนหน้าให้สมดุล เป็นธรรม เป็นเอกภาพและยั่งยืน
ปัญหาสังคมผู้สูงวัยเป็นความท้าทายสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจจีน โดยประชากรสูงวัยของจีนจะเพิ่มเป็น 300 ล้านคน ในอีก 5 ปีข้างหน้า และ 400 ล้านคน ภายในปี 2583 ซึ่งจะเปลี่ยนโครงสร้างประชากรจีนเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยระดับกลาง รายงานของมหาวิทยาลัยชิงหัวระบุว่า ประชากรจีนจะลดจำนวนลงอย่างมากในปี 2593 โดยคาดว่าจะเหลือต่ำกว่า 800 ล้านคน ภายในปี 2643 หรือจาก 19% เป็น 7% ของประชากรโลก ซึ่งจะส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน เนื่องจากแรงงานจีนส่วนใหญ่จะอยู่ในวัย 40-50 ปี ซึ่งด้อยกว่าประชากรวัยหนุ่มสาวทั้งด้านความคิดสร้างสรรค์และสุขภาพ
ภาคการเกษตร คิดเป็น 7.1% ของ GDP ผลผลิตทางการเกษตรที่สำคัญ ได้แก่ ข้าว ข้าวสาลี มันฝรั่ง ข้าวโพด ถั่วลิสง ชา ผลไม้ และปศุสัตว์
ภาคอุตสาหกรรม คิดเป็น 39.5% ของ GDP อุตสาหกรรมสำคัญได้แก่ การทำเหมืองแร่ การผลิตเครื่องจักร สิ่งทอ อุตสาหกรรมปิโตรเลียม ซีเมนต์ เคมีภัณฑ์ ปุ๋ย อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อาวุธ ยานยนต์ และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชั้นสูง
ภาคบริการ คิดเป็น 53.4% ของ GDP
ทรัพยากรธรรมชาติสำคัญ ได้แก่ ถ่านหิน สินแร่เหล็ก น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ปรอท ยูเรเนียม และพลังงานน้ำ
สกุลเงิน ตัวย่อสกุลเงิน : หยวน (RMB หรือ CNY)
อัตราแลกเปลี่ยนต่อดอลลาร์สหรัฐ : 7.14 หยวน : 1 ดอลลาร์สหรัฐ
อัตราแลกเปลี่ยนต่อบาท : 1 หยวน : 4.73 บาท (ต.ค.2567)
ธนาคารกลางของจีนประกาศเมื่อ 11 ส.ค.2558 ให้กำหนดอัตราอ้างอิงในแต่ละวัน เพื่อให้อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างหยวนกับดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น-ลดลงไม่เกิน 2% จากอัตราแลกเปลี่ยน ณ เวลาตลาดปิดในวันก่อนหน้า
- การทหาร:
พรรคคอมมิวนิสต์จีนควบคุมกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน (People’s Liberation Army-PLA) ผ่านคณะกรรมาธิการทหารกลาง ซึ่งมีเลขาธิการพรรคเป็นประธาน และผ่านกรมการเมืองของกองทัพ มีกองกำลังประจำการขนาดใหญ่ที่สุดในโลก 3,170,000 นาย (ปี 2567)
1) กองทัพบก แบ่งเป็น 18 กรม กอง และหน่วยปฏิบัติการผสมที่แยกเป็นอิสระ โดยมีกำลังพลประมาณ 2,545,000 นาย ขีปนาวุธข้ามทวีป 140 ลูก ยานเกราะ 3,860 คัน รถถัง 6,740 คัน ปืนใหญ่ 13,420 กระบอก
2) กองทัพเรือ มีกองเรือหลัก ประกอบด้วย กองเรือทะเลเหนือ กองเรือทะเลตะวันออก และกองเรือทะเลใต้ โดยมีกำลังพลประมาณ 380,000 นาย เรือบรรทุกเครื่องบิน 3 ลำ เรือดำน้ำติดขีปนาวุธโจมตี 57 ลำ เรือสะเทินน้ำสะเทินบก 4 ลำ เรือฟริเกต/เรือพิฆาต 82 ลำ และเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ติดตั้งขีปนาวุธ 40 ลำ
3) กองทัพอากาศ มีหน่วยบัญชาการกองทัพอากาศ ทั้ง 5 เขตยุทธศาสตร์ (Strategic Zone)
มีกำลังพลประมาณ 400,000 นาย เครื่องบินขับไล่ 1,700 ลำ เครื่องบินทิ้งระเบิด 162 ลำ เฮลิคอปเตอร์โจมตี 1,966 ลำ เฮลิคอปเตอร์ขนส่งขนาดใหญ่/กลาง 383 ลำ ยานบินไร้คนขับ 15 ลำ และดาวเทียม 77 ดวง4) กองกำลังขีปนาวุธ (Rocket Force) เป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบเรื่องการป้องปรามทางยุทธศาสตร์ และการพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพ โดยประจำการอาวุธนำวิถีต่อสู้เรือพิสัยกลาง (Dongfeng-26) มีกำลังพลประมาณ 120,000 นาย
5) กองกำลังสนับสนุนยุทธศาสตร์ (Strategic Support Force) มีภารกิจด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ อวกาศ โครงสร้างพื้นฐาน และอิเล็กทรอนิกส์ มีกำลังพลประมาณ 145,000 นาย
6) กองกำลังตำรวจติดอาวุธ (Armed Police Force) มีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยของประเทศ คุ้มครองบุคคลและสถานที่สำคัญ ปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้าย และร่วมกับกองทัพในยามสงคราม ทั้งนี้ กองทัพจีนสั่งการให้กองกำลังรักษาชายฝั่ง (Coast Guard) ซึ่งรับผิดชอบกิจการทางทะเล และการบังคับใช้กฎหมายทางทะเลเป็นหน่วยงานภายใต้กองกำลังติดอาวุธตั้งแต่ ก.ค.2561 มีกำลังพล 500,000 นาย
7) กองกำลังสำรอง (Reserve Force) มีหน้าที่จัดเตรียมและฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ให้พร้อมปฏิบัติภารกิจในทุกสถานการณ์ โดยเฉพาะการช่วยเหลือประชาชนจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ปัจจุบัน กองทัพจีนมีกองกำลังสำรองประมาณ 510,000 นาย และมีแผนลดกองกำลังสำรองลง 300,000 นาย ตั้งแต่ปี 2560 เพื่อเพิ่มกองกำลังในกองทัพเรือ กองทัพอากาศ และกองกำลังขีปนาวุธ ตลอดจนปรับให้สอดคล้องกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่ที่มุ่งเน้นสงครามข้อมูลข่าวสารและการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่
จีนจัดตั้งฐานทัพในต่างประเทศที่จิบูตีเป็นแห่งแรก ประกอบด้วย ท่าเรือ และลานจอดเฮลิคอปเตอร์ มีทหารเรือประจำการประมาณ 26,000 นาย (ปี 2561) และวางแผนขยายเป็น 100,000 นาย ภารกิจสำคัญคือ การสนับสนุนการต่อต้านโจรสลัด การสร้างสันติภาพ การอพยพพลเรือน การปกป้องเส้นทางเดินเรือทางทะเล การรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉินและการช่วยเหลือทางมนุษยธรรม นอกจากนี้ จีนยังส่งกองกำลังร่วมปฏิบัติการรักษาสันติภาพในกรอบของสหประชาชาติประมาณ 2,500 นาย
งบประมาณทางทหารปี 2567 มูลค่า 1.61 ล้านล้านหยวน (ประมาณ 227,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้น 7.2% จากเมื่อปี 2566 (1.55 ล้านล้านหยวน) เพื่อปกป้องอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติ ซึ่งกองทัพจำเป็นต้องฝึกฝนและเตรียมความพร้อมทางทหารมากขึ้น ภายใต้เงื่อนไขการสู้รบในสถานการณ์ปัจจุบันที่ต้องเสริมความแข็งแกร่งให้กับภารกิจทางทหารในทุกด้าน ซึ่งการเพิ่มงบประมาณทางทหารจะเป็นหลักประกันว่า โครงการพัฒนาที่สำคัญของกองทัพจะไม่ได้รับผลกระทบจากโรค COVID-19 รวมทั้งตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนากองทัพให้ทันสมัยในวาระครบรอบ 100 ปีของการก่อตั้งในปี 2570 แต่งบประมาณทางทหารของจีนยังไม่ถึง 1.5% ของ GDP ขณะที่อัตราเฉลี่ยทั่วโลกจะอยู่ที่ 2% ของ GDP
นโยบายทางทหารของจีนเน้นการป้องกันประเทศเชิงรุกควบคู่กับหลักการพัฒนาอย่างสันติ โดยมุ่งเน้น 1) พัฒนาทางทหารอย่างสันติและเสริมสร้างแสนยานุภาพทางทหารเพื่อป้องกันตนเอง 2) สร้างกลไกความมั่นคงร่วมกับนานาประเทศ และกลไกความเชื่อมั่นทางทหารที่มีความยุติธรรม และมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาความมั่นคงทางยุทธศาสตร์ทั่วโลก 3) สนับสนุนและเข้าร่วมการรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ และส่งเสริมความร่วมมือกับกองทัพต่างชาติ ทั้งนี้ จีนเร่งพัฒนาเทคโนโลยีด้านการทหาร และจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์สมัยใหม่ เพื่อรองรับการเคลื่อนย้ายกำลังและการป้องกันชายฝั่งตะวันออกถึงแนวเขตทะเลลึก (Blue Water Navy Capability)
ยุทธศาสตร์การป้องกันเชิงรุกในสถานการณ์ใหม่ จีนให้ความสำคัญกับการเอาชนะสงครามข่าวสาร การจัดการปัญหาทางทะเล การควบคุมภาวะวิกฤต และการปกป้องอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดนและความมั่นคง ปัจจุบันจีนให้ความสำคัญกับภารกิจในอวกาศและไซเบอร์มากขึ้น โดยสนับสนุนการใช้ประโยชน์ในอวกาศอย่างสันติ คัดค้านการแข่งขันสะสมอาวุธ และขยายความร่วมมือด้านอวกาศกับต่างประเทศ ส่วนด้านไซเบอร์เน้นการเพิ่มขีดความสามารถการป้องกันสงครามอิเล็กทรอนิกส์และกองกำลังไซเบอร์ การป้องกันทางไซเบอร์ การส่งเสริมความร่วมมือทางไซเบอร์ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศเพื่อป้องกันวิกฤตการณ์ทางไซเบอร์ ทั้งนี้ จีนกำลังพัฒนาเทคโนโลยีควอนตัม ด้วยการสร้างสถาบันวิจัยด้านควอนตัมที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อประยุกต์ใช้กับกองทัพจีน โดยเฉพาะการถอดรหัสลับและการใช้เรือดำน้ำสำรวจใต้ทะเลลึก
จีนตั้งเป้าหมายเป็นกองทัพยุคใหม่ที่ทันสมัยภายในปี 2578 และยกระดับกองทัพจีนให้อยู่ในระดับชั้นนำของโลกภายในกลางศตวรรษที่ 21 (ปี 2583-2593) โดยมุ่งพัฒนาบุคลากรและยุทโธปกรณ์ที่ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง นอกจากนี้ จีนยังให้ความสำคัญต่อการวิจัยและพัฒนาในกองทัพมากขึ้น ด้วยการรวบรวมนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำ 120 คน มาทำงานให้แก่สถาบันวิทยาศาสตร์ทางทหารของจีน (Chinese Academy of Military Science) ส่วนใหญ่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence-AI) และเทคโนโลยีควอนตัม
ปัจจุบันจีนมีเรือบรรทุกเครื่องบินประจำการ 3 ลำ ได้แก่ เรือเหลียวหนิง-Type 001 (ซื้อจากยูเครนมาปรับปรุง) เรือชานตง-Type 002 (จีนต่อเอง) และเรือฟูเจี้ยน-Type 003 ซึ่งอยู่ระหว่างทดสอบระบบปฏิบัติการในปี 2567 และเริ่มโครงการต่อเรือบรรทุกเครื่องบินลำที่ 4 (Type 004) เมื่อ มี.ค.2567 ซึ่งคาดว่าอาจเป็นเรื่องบรรทุกเครื่องบินพลังงานนิวเคลียร์ลำแรกของจีน ทั้งสองลำต่อที่อู่ต่อเรือเจียงหนานในนครเซี่ยงไฮ้ และมีต่อเรือบรรทุกเครื่องบินลำที่ 5 ที่อู่ต่อเรือต้าเหลียน โดยจีนตั้งเป้าหมายยุทธศาสตร์ทางทะเลที่จะมีเรือบรรทุกเครื่องบิน 6 ลำ ภายในปี 2578 สำหรับปฏิบัติภารกิจในทะเลเหลือง ทะเลจีนใต้ และทะเลจีนตะวันออกพื้นที่ละ 2 ลำ
- ปัญหาด้านความมั่นคง:
ปัญหาด้านความมั่นคงหลักของจีน คือ ภัยคุกคามต่อเสถียรภาพทางการเมืองและสังคม แบ่งเป็น ภัยคุกคามภายในประเทศ ได้แก่ 1) ความเคลื่อนไหวของกลุ่มที่ต้องการแบ่งแยกดินแดนจากจีน ทั้งฮ่องกง ทิเบต ไต้หวัน และเขตปกครองตนเองซินเจียง 2) กลุ่มลัทธิฝ่าหลุนกง ซึ่งจีนถือเป็นลัทธิผิดกฎหมาย 3) ปัญหาภัยพิบัติธรรมชาติ ส่วนภัยคุกคามจากภายนอก ได้แก่ 1) การละเมิดน่านน้ำและน่านฟ้าของจีน 2) นโยบายสกัดกั้นจีนในทุกมิติของสหรัฐฯ 3) การขยายบทบาททางทหารของญี่ปุ่น 4) ปัญหาคาบสมุทรเกาหลี และ 5) สถานการณ์ในตะวันออกกลาง รวมทั้งความไม่สงบในอัฟกานิสถาน นอกจากนี้ จีนยังให้ความสำคัญกับการปกป้องผลประโยชน์ของจีนในต่างประเทศ ซึ่งอาจได้รับความเสี่ยงจากกลุ่มก่อการร้าย โจรสลัด และความ ไม่สงบในภูมิภาค
- สมาชิกองค์การระหว่างประเทศ:
เป็นสมาชิกและผู้สังเกตการณ์ในองค์การระหว่างประเทศ อาทิ ADB, AfDB, APEC, APT, ARF, ASEAN (คู่เจรจา), Arctic Council, BIS, BRICS, CDB, CICA, EAS, FAO, FATF, G-20,
G-24 (observer), G-5, G-77, IADB, IAEA, IBRD, ICAO, ICC, ICRM, IDA, IFAD, IFC, IFRCS, IHO, ILO, IOM, IMF, IMO, IMSO, Interpol, IOC, IPU, ISO, ITSO, ITU, LAIA, MIGA, MINURSO, MINUSMA, MONUC, NAM (observer), NSG, OAS, OPCW, Pacific Alliance, PCA, PIF, SAARC, SCO, SICA, UN, UN Security Council (สมาชิกถาวร), UNAMID, UNCTAD, UNESCO, UNHCR, UNIDO, UNIFIL, UNITAR, UNMIL, UNMIS, UNMIT, UNOCI, UNTSO, UNWTO, UPU, WCO, WFTU, WHO, WIPO, WMO, WTO, ZC - การขนส่งและโทรคมนาคม:
ทางบก ระยะทาง 5,200,000 กม. ขยายสัดส่วนเส้นทางถนนกว้างขึ้นและครอบคลุมเกือบทุกภูมิภาค ทางรถไฟระยะทาง 155,000 กม. มีรถไฟความเร็วสูงกว่า 10 เส้นทางทั่วประเทศ รวมระยะทางประมาณ 45,000 กม. (ปี 2567) คิดเป็น 60% ของเส้นทางรถไฟความเร็วสูงของโลก และคาดว่าจะมีเส้นทางรถไฟฟ้าความเร็วสูงเพิ่มขึ้นในปี 2568 ปัจจุบันจีนมุ่งส่งออกรถไฟความเร็วสูงไปยังต่างประเทศ ทางน้ำ มีการปรับปรุงเส้นทางขนส่งทางน้ำหลายแห่ง เช่น การเดินเรือน้ำลึกปากแม่น้ำแยงซีระยะที่ 3 เส้นทางเดินเรือออกทะเลที่ปากแม่น้ำจูเจียง ทางอากาศ มีสนามบินพาณิชย์ 210 แห่ง เมืองท่าสำคัญ อาทิ Dalian, Ningbo, Qingdao, Qinhuangdao, Shanghai, Shenzhen, Tianjin ด้านโทรคมนาคมมีผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ 1,524.33 ล้านเลขหมาย และโทรศัพท์พื้นฐาน 206.624 ล้านเลขหมาย และมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมากที่สุดในโลกประมาณ 772 ล้านคน รหัสอินเทอร์เน็ต .cn
- การเดินทาง:
กรุงเทพ-กรุงปักกิ่ง ใช้ระยะเวลาในการบิน 4 ชม. 35 นาที สายการบินของไทยที่มีเที่ยวบินตรง ได้แก่ การบินไทย สายการบินของจีนที่มีเที่ยวบินตรง ได้แก่ Air China, Hainan Airlines และ Shanghai Airlines สายการบินต่างชาติที่มีเที่ยวบินตรงได้แก่ Ural Airlines เวลาเร็วกว่าไทย 1 ชม.
การเข้าเมืองที่กรุงปักกิ่ง
- ผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาต้องขอรับการตรวจลงตราจาก สอท. หรือ สกญ. จีนในประเภทที่ถูกต้อง
- ผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและราชการเดินทางเข้าจีนได้ไม่เกิน 30 วันโดยไม่ต้องขอรับการตรวจลงตรา
- ผู้ที่เดินทางผ่านจีนไปประเทศที่สามไม่จำเป็นต้องขอรับการตรวจลงตรา หากรอเปลี่ยนเครื่องบินไม่เกิน 24 ชม.
การเดินทาง : กรุงเทพฯ-เซี่ยงไฮ้ ใช้ระยะเวลาในการบิน 4 ชม. 20 นาที สายการบินของไทยที่มีเที่ยวบินตรง ได้แก่ การบินไทย และไทยแอร์เอเชีย สายการบินของจีนที่มีเที่ยวบินตรงได้แก่ China Eastern Airlines, Shanghai Airlines, Junyao Airlines และ Spring Airlines
การเข้าเมืองที่เซี่ยงไฮ้
- ผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและราชการไทยสามารถเดินทางเข้าจีนได้เป็นเวลา 30 วัน โดยไม่ต้องขอรับการตรวจลงตรา หากถือหนังสือเดินทางธรรมดาจะต้องขอรับการตรวจลงตราที่ สอท. หรือ สกญ.จีนในไทยก่อน
การเดินทาง : กรุงเทพฯ-คุนหมิง ใช้ระยะเวลาในการบิน 2 ชม. 10 นาที สายการบินของไทยที่มีเที่ยวบินตรง ได้แก่ การบินไทย และไทยแอร์เอเชีย สายการบินของจีนที่มีเที่ยวบินตรง ได้แก่ China Eastern Airlines, Shandong Airlines และ Lucky Air
การเข้าเมืองที่คุนหมิง
- คนไทยที่ถือหนังสือเดินทางธรรมดาควรขอรับการตรวจลงตราก่อนที่จะเดินทางเข้าจีนที่ สอท.จีน ณ กรุงเทพฯ สกญ.จีน ณ เชียงใหม่ หรือที่สงขลา (อำเภอหาดใหญ่) การขอรับการตรวจลงตราสำหรับนักท่องเที่ยวเสียค่าธรรมเนียม 1,000 บาท ใช้เวลาดำเนินการ 3 วันทำการ สำหรับผู้ที่ถือหนังสือเดินทางราชการและทูตได้รับการยกเว้นการตรวจลงตรา โดยสามารถอยู่ในจีนได้ไม่เกิน 30 วัน
- การขอรับการตรวจลงตรา ณ ช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมือง (Visa on arrival) ที่สนามบินคุนหมิงยังไม่สะดวก มีขั้นตอนยุ่งยาก และต้องดำเนินการล่วงหน้าประมาณ 4-5 วัน ก่อนเดินทาง ขณะที่ด่าน ตม.เซินเจิ้น จีนได้ยกเลิกการตรวจลงตราให้ไทยเมื่อ ส.ค.2559 ส่วนที่ด่านสากลบ่อหาน เขตการปกครองตนเองสิบสองปันนา สามารถขอรับการตรวจลงตราได้ตามปกติ
- สถานการณ์สำคัญที่น่าติดตาม:
1) สถานการณ์ด้านการเมืองและความมั่นคงภายใน เช่น ผลจากการแต่งตั้งหรือโยกย้ายบุคคลสำคัญทางการเมือง กลุ่มแบ่งแยกดินแดนในเขตปกครองตนเองซินเจียงและทิเบต ปัญหาการเมืองและสังคมในฮ่องกง
2) สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจ การชะลอตัวทางเศรษฐกิจจากความตึงเครียดจีน-สหรัฐฯ ผลกระทบจากความขัดแย้งทางเศรษฐกิจระหว่างจีนกับต่างประเทศ สถานการณ์ในภาคอสังหาริมทรัพย์จีน การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษนำร่อง การแก้ไขปัญหาความยากจน
3) บทบาทของจีนด้านการเมืองระหว่างประเทศในฐานะของผู้ไกล่เกลี่ยสถานการณ์ความขัดแย้งในหลายภูมิภาค อาทิ คาบสมุทรเกาหลี ตะวันออกกลาง แอฟริกา และเมียนมา
4) ปัญหาการอ้างกรรมสิทธิ์ทับซ้อนในทะเลจีนตะวันออก และทะเลจีนใต้
5) การผลักดันความร่วมมือรอบด้านผ่านกรอบความร่วมมือต่าง ๆ ของจีน
6) ความสัมพันธ์จีนกับมหาอำนาจอื่น เช่น สหรัฐฯ รัสเซีย สหภาพยุโรป อินเดีย ออสเตรเลีย
8) ยุทธศาสตร์และการเป็นมหาอำนาจทางทะเลของจีน โดยเฉพาะการพัฒนาเส้นทางสายไหมใหม่ ทั้งทางบกและทางทะเล (Belt and Road Initiative-BRI) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในต่างประเทศ
9) การขยายอิทธิพลทางทหารของจีน
10) การแข่งขันอิทธิพลกับสหรัฐฯ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ แอฟริกา และภูมิภาคอื่น ๆ โดยเฉพาะการขยายอิทธิพลของจีนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
11) ปัญหาความสัมพันธ์จีน-ไต้หวัน
12) การขยาย Soft power ของจีนในภูมิภาคต่าง ๆ
13) การแก้ไขกฎหมายและปราบปรามการทุจริตภายในประเทศ
- ความสัมพันธ์ไทย-จีน:
นับตั้งแต่สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการเมื่อ 1 ก.ค.2518 ทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดทั้งในกรอบทวิภาคีในรูปแบบหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อย่างรอบด้านที่ครอบคลุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้า การลงทุน การคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐาน การท่องเที่ยวและวัฒนธรรม การทหารที่มีผลประโยชน์ต่างตอบแทน ไทยกับจีนมีความสัมพันธ์ที่ดีในหลายระดับ ในระดับสูง ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ทูลเกล้าถวายเครื่องอิสริยาภรณ์รัฐมิตราภรณ์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน แด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสครบรอบ 70 ปี การสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนเมื่อ 1 ต.ค.2562 ในฐานะที่ทรงสร้างคุณูปการสำคัญในการส่งเสริมมิตรภาพและความร่วมมือ กับจีน และในระดับรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นรม.เข้าร่วมการประชุม Belt and Road Forum for International Cooperation ระหว่าง 26-27 เม.ย.2562 โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องผลักดันการเชื่อมโยงระหว่างกันของ Belt and Road Initiative กับเส้นทางรถไฟไทย-จีน และ Greater Bay Area กับระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (East Economic Corridor-EEC) นอกจากนี้ ไทย-จีน-ลาว ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเชื่อมต่อเส้นทางรถไฟไทย-ลาว-จีน ร่วมกัน รวมทั้งไทยสนับสนุนการสร้างความเชื่อมโยงระดับภูมิภาคกับจีน ภายใต้แผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน (Master Plan on ASEAN Connectivity-MPAC) และยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิระวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy-ACMECS) กับจีน
เมื่อปี 2566 นายเศรษฐา ทวีสิน นรม. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เข้าร่วมการประชุม Belt and Road Forum for International Cooperation ระหว่าง 17-18 ต.ค.2566 ทั้งสองฝ่ายตกลงจะทำงานร่วมกันเพื่อส่งเสริมมิตรภาพและความเป็นเพื่อนบ้านที่ดี สนับสนุนซึ่งกันและกัน โดยยึดผลประโยชน์หลักของ ทั้งสองฝ่าย อำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุนระหว่างกันมากขึ้น ส่งเสริมความร่วมมือกับไทยในสาขาต่าง ๆ อาทิ เศรษฐกิจดิจิทัล รถยนต์ไฟฟ้า พลังงานสะอาด 5G และจะร่วมมือกันปราบปรามการพนันออนไลน์ การฉ้อโกงทางโทรศัพท์ ส่งผู้หลบหนีคดีทุจริตกลับประเทศ และเรียกคืนรายได้ผิดกฎหมายของอาชญากร กับทั้งมีการลงนามในเอกสารความร่วมมือหลายฉบับในประเด็นการเพิ่มความร่วมมือภายใต้กรอบความริเริ่มแถบและเส้นทาง การต่างประเทศ เศรษฐกิจดิจิทัล ศุลกากร ภาพยนตร์ และวัฒนธรรม
ในห้วง มค.-ก.ย.2566 จีนเป็นประเทศคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย มูลค่าการค้ารวม 78,916 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 2.3% การส่งออกมีมูลค่า 26,333 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 1.26% การนำเข้ามีมูลค่า 52,583 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 2.82% สินค้าส่งออกที่สำคัญจากไทยไปจีน ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เม็ดพลาสติก ผลไม้สด แช่แข็งและแห้ง อัญมณีและเครื่องประดับ ส่วนสินค้านำเข้าที่สำคัญจากจีนมาไทย ได้แก่ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน เคมีภัณฑ์ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์
ด้านการท่องเที่ยว ห้วง ม.ค.-ต.ค.2566 นักท่องเที่ยวจีนยังเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญต่อการฟื้นฟูอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย ปัจจุบัน นักท่องเที่ยวจีนเข้ามาท่องเที่ยวในไทยมากเป็นอันดับ 2 ประมาณ 2,403,226 คน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หลังจากไทยยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทางให้แก่นักท่องเที่ยวจีน ระหว่าง 25 ก.ย.2566-29 ก.พ.2567 อย่างไรก็ดี การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวจีนในไทยยังคงตัว เนื่องจากนักท่องเที่ยวจีนเปลี่ยนพฤติกรรมไปเป็นการท่องเที่ยวด้วยตนเอง และใช้จ่ายเชิงคุณภาพมากขึ้น
ปี 2567 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นรม.ได้หารือนอกรอบกับนายหลี่ เฉียง นรม.จีน ในโอกาสเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่นครหลวงเวียงจันทน์ ลาว ระหว่าง 9-12 ต.ค.2567 ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องจะร่วมกันส่งเสริมการแลกเปลี่ยนระดับสูง เพิ่มความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ต่อกันด้านเศรษฐกิจ การค้า การเกษตร และอื่นๆ สนับสนุนการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม ระหว่างประชาชน และร่วมปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ เช่น การพนันออนไลน์ และการฉ้อโกงทางโทรศัพท์ เพื่อผลักดันการสร้างประชาคมไทย-จีน ที่มีอนาคตร่วมกัน นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังแสดงความต้องการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองร่วมกันมากขึ้นเนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน (ปี 2568)
ข้อตกลงที่สำคัญ ได้แก่ ข้อตกลงทางการค้า (31 มี.ค.2521) พิธีสารว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมทางการค้าไทย-จีน (9 พ.ย.2521) ข้อตกลงว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย-จีน (12 มี.ค.2528) ข้อตกลงความร่วมมือด้านวัฒนธรรมไทย1-จีน (28 ส.ค.2544) ความตกลง เร่งลดภาษีสินค้าผักและผลไม้ไทย-จีน (18 มิ.ย.2546) ความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมว่าด้วย ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ (18 ต.ค.2546) บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือทางการค้าการลงทุนและเศรษฐกิจ (ต.ค.2546)
ข้อตกลงของภาคเอกชน ที่สำคัญได้แก่ ข้อตกลงความร่วมมือระหว่างคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย) กับสภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศแห่งชาติจีน (27 ส.ค.2536) ข้อตกลงความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการค้าและวิชาการระหว่างสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยกับหอการค้ามณฑลเหอเป่ย (28 มี.ค.2543) บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งสภาธุรกิจไทย-จีน และสภาธุรกิจจีน-ไทย (28 ส.ค.2544) แผนปฏิบัติการร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ไทย-จีน ฉบับที่ 2 (ปี 2555-2559) การขยายความร่วมมือภายใต้ทวิภาคีทางเศรษฐกิจและการค้า (ปี 2555)
ปี 2556 การลงนามความตกลงภาครัฐ 6 ฉบับ ได้แก่ 1) บันทึกความเข้าใจว่าด้วย Governmental Cooperation Project on the Infrastructure Development in Thailand in Connection with Agricultural Products Payment 2) ความตกลงว่าด้วยการส่งเสริม 4 โครงการความร่วมมือภายใต้โครงการหุ้นส่วนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาเซียน-จีน 3) แผนปฏิบัติการ 5 ปีสำหรับความร่วมมือทางทะเลไทย-จีน 4) บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านอาชีวศึกษา 5) บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลว่าด้วยความร่วมมือด้านพลังงาน และ 6) ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนของไทยและธนาคารเพื่อการพัฒนาของจีน
ปี 2557 ความร่วมมือ 4 ฉบับ ได้แก่ 1) บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งธนาคารชำระดุลเงินหยวนในประเทศไทย 2) ความตกลงทวิภาคีแลกเปลี่ยนเงินตราสกุลหยวนและบาท 3) บันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับความร่วมมือทางวิชาการทรัพยากรน้ำและการชลประทาน และ 4) บันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและธนาคารแห่งประเทศจีน จำกัด (Bank of China Limited) ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทย-จีน ว่าด้วยการกระชับความร่วมมือในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟ
ปี 2558 และปี 2559 บันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมกับภาคเอกชนจีน 5 ฉบับ เพื่อส่งเสริมโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ได้แก่ 1) บันทึกข้อตกลงเพิ่มเติมเพื่อการศึกษาร่วมกันในโครงการร่วมก่อสร้างระบบเคเบิลใต้น้ำเชื่อมโยงระหว่างเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกของไทย และเขตการปกครองพิเศษฮ่องกง 2) บันทึกข้อตกลงเพื่อการศึกษาร่วมกันในโครงการก่อสร้างศูนย์ข้อมูลอินเทอร์เน็ตในประเทศไทย 3) ความร่วมมือในการพัฒนาสนามทดสอบและพันธมิตรเพื่อนำเทคโนโลยี 5G ไปใช้ในช่วงต้น 4) ความร่วมมือพหุภาคีในการพัฒนา EEC Startup Hub ในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก และ 5) ความร่วมมือในการพัฒนาสถาบันไอโอทีและดิจิทัลพาร์ค ประเทศไทย บันทึกความร่วมมือโครงการรถไฟระหว่างไทย-ลาว-จีน
ปี 2562 และปี 2563 การลงนามสัญญางาน ระบบราง ระบบไฟฟ้าและเครื่องกล รวมทั้งจัดหาขบวนรถไฟและจัดฝึกอบรมบุคลากร (สัญญา 2.3) โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง
ปี 2565 รัฐบาลไทยและจีนประกาศเอกสารความร่วมมือและความตกลงที่มีการลงนามในช่วงผู้นำจีนเยือนไทย จำนวน 5 ฉบับ ได้แก่ 1) แผนปฏิบัติการร่วมว่าด้วยความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ไทย-จีน ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ฉบับที่ 4 (พ.ศ.2565-2569) 2) แผนความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยการร่วมกันส่งเสริมเส้นทางเศรษฐกิจสายไหมและเส้นทางสายไหมทางทะเลแห่งศตวรรษที่ 21 3) บันทึกความเข้าใจ ว่าด้วยความร่วมมือด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงพาณิชย์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน 4) บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย และสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และ 5) บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการก่อตั้งคณะทำงานความร่วมมือด้านการลงทุนและเศรษฐกิจระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงพาณิชย์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
ปี 2566 ที่สำคัญ ได้แก่ 1) ความตกลงเพื่อแก้ไขพิธีสารระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยกับสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยหลักเกณฑ์การตรวจสอบการกักกัน และสุขอนามัยทางสัตวแพทย์ เพื่อการส่งออกเนื้อสัตว์ปีกแช่แข็งและชิ้นส่วนสัตว์ปีกจากประเทศไทย ไปยังประเทศจีน 2) พิธีสารว่าด้วยความปลอดภัยอาหารด้านการสัตวแพทย์และการปกป้องพืช 3) เอกสาร ข้อริเริ่มปักกิ่งว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศด้านเศรษฐกิจดิจิทัล ภายใต้กรอบสายแถบและเส้นทาง และร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งราชอาณาจักรไทย และสำนักงานข้อมูลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจดิจิทัล และ 4) บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสื่อสารมวลชนและสารสนเทศระหว่างกรมประชาสัมพันธ์กับกลุ่มสื่อแห่งชาติจีน
-
คณะรัฐมนตรี:
นายสี จิ้นผิง
(Xi Jinping)
ตำแหน่ง ประธานาธิบดี เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน ประธานคณะกรรมาธิการทหารกลางเกิด 15 มิถุนายน 2496 (อายุ 72 ปี/ปี 2568) มณฑลส่านซี
การศึกษา - ปริญญาตรีด้านวิศวกรรมเคมี มหาวิทยาลัยชิงหวา
- ปริญญาตรีด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ (วิชาเอกทฤษฎีมาร์กซ์และการศึกษา)
มหาวิทยาลัยชิงหวา- ปริญญาเอกทางกฎหมาย มหาวิทยาลัยชิงหวา
ครอบครัว สมรสกับนางเผิง ลี่หยวน นักร้องอุปรากรจีนชื่อดัง ซึ่งเป็นการสมรสครั้งที่ 2 มีบุตรสาว 1 คน ชื่อ สี หมิงเจ๋อ ก่อนนี้เคยสมรสกับนางเค่อ หลิงหลิง บุตรสาวอดีตเอกอัครราชทูตจีน ณ กรุงลอนดอน แต่หย่าร้าง โดยไม่มีบุตรด้วยกัน
ประวัติการทำงาน
ปี 2517 - สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีน
ปี 2525-2526 - รองเลขาธิการคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำเมืองเจิ้งติง มณฑลเหอเป่ยปี 2526-2528 - เลขาธิการคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำเมืองเจิ้งติง มณฑลเหอเป่ย
ปี 2528-2531 - สมาชิกคณะกรรมการประจำพรรคคอมมิวนิสต์จีน และรองผู้ว่าการเมืองเซียะเหมิน
มณฑลฝูเจี้ยนปี 2531-2533 - เลขาธิการคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำเมืองหนิงเต๋อ มณฑลฝูเจี้ยน
ปี 2533-2536 - เลขาธิการคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนของเมืองฝูโจว มณฑลฝูเจี้ยน
ประธานคณะกรรมการประจำสภาประชาชนเมืองฝูโจว มณฑลฝูเจี้ยน
ปี 2536-2538 - คณะกรรมการประจำคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำมณฑลฝูเจี้ยน
ปี 2539-2542 - รองเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำมณฑลฝูเจี้ยน
ปี 2542-2543 - รองเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำมณฑลฝูเจี้ยน และรักษาการผู้ว่าการ
มณฑลฝูเจี้ยนปี 2543-2545 - รองเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำมณฑลฝูเจี้ยน และผู้ว่าการมณฑลฝูเจี้ยน
ปี 2545 - รองเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำมณฑลเจ้อเจียง และรักษาการผู้ว่าการ
มณฑลเจ้อเจียงปี 2545-2546 - เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำมณฑลเจ้อเจียง และรักษาการผู้ว่าการ
มณฑลเจ้อเจียงปี 2546-2550 - เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำมณฑลเจ้อเจียง ประธานคณะกรรมการ
ประจำสภาประชาชน มณฑลเจ้อเจียงมีนาคม 2550 - เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำมหานครเซี่ยงไฮ้
ตุลาคม 2550 - กรรมการประจำกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีนชุดที่ 17 และเลขาธิการสำนักงาน
เลขาธิการคณะกรรมการกลาง
มีนาคม 2551 - กรรมการประจำกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีน และรองประธานาธิบดี
ตุลาคม 2553 - กรรมการประจำกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีน รองประธานาธิบดี และ
รองประธานคณะกรรมาธิการทหารกลางพฤศจิกายน 2555 - เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน กรรมการประจำกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีน
ชุดที่ 18 และประธานคณะกรรมาธิการทหารกลางมีนาคม 2556 - ประธานาธิบดี
ปัจจุบัน (ปี 2567) - ประธานาธิบดี (สมัยที่ 3) /เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน กรรมการประจำ
กรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีนชุดที่ 20 / ประธานคณะกรรมาธิการทหารกลาง------------------------------------------------
คณะรัฐมนตรีจีน
ประธานาธิบดี Xi Jinping
รองประธานาธิบดี Han Zheng
นรม. Li Qiang
รอง นรม. Ding Xuexiang
He Lifeng
Zhang Guoqing
Liu Guozhong
มนตรีแห่งรัฐ Wang Xiaohong
Wu Zhenglong
Shen Yiqin
เลขาธิการคณะรัฐมนตรี Wu Zhenglong
รมว.กระทรวงการต่างประเทศ Wang Yi
รมว.กระทรวงกลาโหม Dong Jun
รมว.กระทรวงศึกษาธิการ Huai Jinpeng
รมว.กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี Yin Hejun
รมว.กระทรวงอุตสาหกรรมและข้อมูลข่าวสาร Jin Zhuanglong
รมว.กระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว Hu Heping
รมว.กระทรวงความมั่นคงสาธารณะ Wang Xiaohong
รมว.กระทรวงความมั่นคงแห่งรัฐ Chen Yixin
รมว.กระทรวงกิจการพลเรือน Tang Dengjie
รมว.กระทรวงยุติธรรม He Rong
รมว.กระทรวงการคลัง Lan Fo’an
รมว.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ Wang Guanghua
รมว.กระทรวงทรัพยากรมนุษย์และความมั่นคงทางสังคม Wang Xiaoping
รมว.กระทรวงนิเวศและสิ่งแวดล้อม Huang Runqiu
รมว.กระทรวงการเคหะและการก่อสร้างเขตเมือง-ชนบท Ni Hong
รมว.กระทรวงคมนาคม Li Xiaopeng
รมว.กระทรวงพาณิชย์ Wang Wentao
รมว.กระทรวงทหารผ่านศึก Pei Jinjia
รมว.กระทรวงจัดการภาวะฉุกเฉิน Wang Xiangxi
กระทรวงทรัพยากรน้ำ Li Guoying
กระทรวงเกษตรและกิจการชนบท Tang Renjian
คณะกรรมาธิการกำกับดูแล Liu Jinguo
คณะกรรมาธิการปฏิรูปและการพัฒนาแห่งชาติ Zheng Shanjie
คณะกรรมการสุขอนามัยแห่งชาติ Ma Xiaowei
ผู้อำนวยการตรวจสอบบัญชีแห่งชาติ Hou Kai
ผู้ว่าการธนาคารแห่งชาติ Pan Gongsheng
คณะกรรมการกิจการเชื้อชาติแห่งชาติ Pan Yue
---------------------------------------
(ธ.ค.2567)